วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การขนส่งสินค้าทางอากาศในจีน

"การขนส่งสินค้าทางอากาศในจีน"
การขนส่งทางการบินประเทศจีน

         จีนต้องการพัฒนาศักยภาพทางการบินเพื่อขนสินค้าออกเข้าทางอากาศให้เพิ่มจากปีละ 570,000 ตัน เพิ่มเป็น 1 ล้านตัน ให้สามารถขนส่งผู้โดยสารเพิ่มจาก 29.3 ล้านคนในปีนี้ (พ.ศ.2553) เพิ่มเป็น 43 ล้านคน ในอีก 5 ปีข้างหน้า ในแผนพัฒนาชาติฉบับที่ 10 ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า จีนจะส่งดาวเทียมเพื่อการสื่อสารขึ้นไปโคจรอีก 35 ดวง
ธุรกิจ สายการบินของประเทศจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีสายการบินขนาดใหญ่ 3 สายการบินแข่งขันอย่างรุนแรงกับสายการบินต่างประเทศและสายการบินต้นทุนตํ่า ที่เข้าไปแย่งตลาด ปัจจุบันจีนเป็นตลาดขนส่งทางอากาศที่เติบโตรวดเร็วมาก ในปี 2549 มีผู้โดยสารใช้บริการทางการบิน 160 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขปี 2548 ที่มีปริมาณ 138.3 ล้านคน เดิมภายหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อเดือนตุลาคม 2492 ประเทศจีนมีเพียงสายการบินเดียวที่ผูกขาดการดำเนินการโดยหน่วยงาน CAAC 

นักงานบริหารการบินพลเรือนของจีน (CAAC)

               บริการขนส่งทางอากาศในประเทศจีนช่วงนั้น จำกัดมาก ธุรกิจการบินในจีนเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงประกาศนโยบายปฏิรูป เศรษฐกิจเมื่อปี 2521 ทำให้ธุรกิจสายการบินเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2531 รัฐบาลแยกธุรกิจการบินของหน่วยงาน CAAC ออกเป็นสายการบินอิสระ 6 สายการบิน ได้แก่ Air China China Eastern Airlines China Southern Airlines China Northwest Airlines China Northern Airlines และ China Southwest Airlines
ต่อ มารัฐบาลจีนยกเลิกการผูกขาดธุรกิจสายการบินโดยเปิดให้ก่อตั้งสายการบินใหม่ ทำให้มีผู้ได้รับอนุญาตจำนวนมากทั้งในส่วนที่เป็นรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่นและบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงทำให้หลายสายการบินประสบปัญหาทางการเงิน คณะรัฐมนตรีของจีนได้มีมติเมื่อต้นปี 2545 เห็นชอบปรับโครงสร้างสายการบินของรัฐบาลกลางจำนวน 9 สายการบิน โดยกำหนดให้ควบกิจการเข้าด้วยกันเพื่อเป็น 3 สายการบิน ขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ ดังนี้

China Southwest Airlines
 
-ควบรวมสายการบิน China Southwest Airlines และสายการบิน China National
Aviation Corp เข้ากับสายการบิน Air China

Air China

-ควบรวมสายการบิน Northwest Airlines และสายการบิน Yunnan Airlines เข้ากับสายการบิน China Eastern

China Northern

-ควบรวมสายการบิน China Northern และสายการบิน Xinjiang Airlines เข้ากับสายการบิน China Southern

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย



ซาร์นิโคลัสที่ 2 หรือ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (รัสเซีย: Никола́й II, Nikolay II, อ่านว่า "นิคาลัย ที่ 2"; อังกฤษ: Nicholas II) (18 พฤษภาคม พ.ศ. 241117 กรกฎาคม พ.ศ. 2461) เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซีย กษัตริย์ของโปแลนด์ และแกรนด์ดยุกแห่งฟินแลนด์ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2437 พระองค์ได้รับการกล่าวถึงว่าทรงเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแอ ทรงไม่สามารถจัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2447-พ.ศ. 2448 และการที่ทรงบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้ อันเป็นชนวนให้ประชาชนชาวรัสเซียไม่พอใจและก่อการประท้วง นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้รัสปูติน นักบวชนอกรีตมีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ต่อมาคณะปฏิวัติบอลเชวิกได้บังคับให้ทรงสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2460 ทรงถูกจำและถูกปลงพระชนม์อย่างทารุณพร้อมด้วยพระราชวงศ์หลายพระองค์

พระนามาภิไธยเต็มของพระองค์คือ นิคาลัย อเล็กซานโดรวิช โรมานอฟ พระนามาภิไธยอย่างเป็นทางการคือ นิโคลัสที่ 2 สมเด็จพระจักรพรรดิเจ้าอธิปัตย์แห่งรัสเซีย และในบางครั้งมีผู้เรียกพระองค์ว่า “นิโคลัสผู้เป็นที่เคารพบูชา อันเนื่องมาจากการถูกปลงพระชนม์อย่างทารุณ กับทั้งได้รับสมัญญาว่า นิโคลัสผู้กระหายเลือด อันเนื่องมาจากเหตุการณ์นองเลือดในวันขึ้นทรงราชย์ อย่างไรก็ดี ผู้ถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ของรัสเชียยกย่องพระองค์ให้เป็น “นักบุญนิโคลัสผู้ธำรงความหฤหรรษ์
ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงเสกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์ ซึ่งต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย มีพระราชบุตรด้วยกันห้าพระองค์
[แก้] ความสัมพันธ์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กับราชอาณาจักรสยาม
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เมื่อครั้งเป็นมกุฎราชกุมารทรงพระนามว่าเซอร์เรวิช แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลัส ได้เสด็จเยือนประเทศไทยหรือประเทศสยามในเวลานั้นระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม พ.ศ. 2434 รวมเป็นเวลา 5 วันโดยทรงได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดที่พักประทับแรมถวายที่พระราชวังสราญรมย์และได้นำเสด็จ "ปิกนิกใหญ่" ทอดพระเนตรการคล้องช้างที่จังหวัดอยุธยา ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเยือนพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นการตอบแทนที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเวลา 11 วัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกเป็นเวลา 9 เดือนโดยนับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ซึ่งต่อมาได้ถือเป็นวันแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย - รัสเซียอย่างเป็นทางการ การเสด็จเยือนรัสเซียพร้อมการฉายภาพทั้งสองพระองค์ประทับนั่งคู่กันตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วยุโรปถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราโชบายที่ทำให้ประเทศสยามรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษหรือฝรั่งเศส

จดหมายเหตุลาลูแบร์


จดหมายเหตุลาลูแบร์ (ฝรั่งเศส: "Du Royaume de Siam" แปลตามตัวคือ "ว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม") เป็นจดหมายเหตุ

 พงศาวดารที่กล่าวถึงราชอาณาจักรสยามในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2230 โดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาทูลพระราชสาส์น ณ ประเทศสยาม ได้พรรณาถึงกรุงศรีอยุธยาไว้อย่างกว้างขวาง แม้ว่าเขาจะอยู่เพียง 3 เดือน 6 วัน จึงต้องอาศัยความรู้จากหนังสือที่ชาวตะวันตกซึ่งมากรุงสยามแต่ก่อนแต่งไว้อย่างคลาดเคลื่อนบ้าง สอบถามจากคนที่ไม่มีความรู้บ้าง ฟังจากคำบอกเล่าซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางเรื่องก็คาดเดาเอาเอง

มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ได้ออกเดินทางจากท่าเรือเมือง เบรสต์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2230 มาทอดสมอที่กรุงสยาม เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2230 เดินทางกลับเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2231 ขึ้นบกที่ท่าเรือเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2231
ความมุ่งหมายในการเขียน เพ่งเล็งในด้านอาณาเขต ความอุดมสมบูรณ์ คุณภาพของดินในการกสิกรรม ภูมิอากาศเป็นประการแรก ต่อมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่ว ๆ ไป และเฉพาะเรื่องเฉพาะราย เรื่องเกี่ยวกับรัฐบาล และศาสนาจะกล่าวในตอนท้าย และได้รวบรวมบันทึกความทรงจำ เกี่ยวกับประเทศนี้ ที่เขาได้นำติดตัวมาด้วยไปผนวกไว้ตอนท้าย และเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้จักชาวสยามโดยแจ่มชัด จึงได้เอาความรู้เกี่ยวกับอินเดีย และจีนหลายประการมาประกอบด้วย นอกจากนั้นยังได้แถลงว่าจะต้องสืบเสาะให้รู้เรื่องราว พิจารณาสอบถาม ศึกษาให้ถึงแก่นเท่าที่จะทำได้ ก่อนเดินทางไปถึงประเทศสยาม ได้อ่านจดหมายเหตุทั้งเก่าและใหม่ บรรดาที่มีผู้เขียนขึ้นไว้เกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ในภาคพื้นตะวันออก ถ้าไม่มีสิ่งดังกล่าว เขาอาจใช้เวลาสักสามปี ก็คงไม่ได้ข้อสังเกต และรู้จักประเทศสยามดี
แหล่งข้อมูลอื่น